5 วิธีเลือกหลอดไฟติดเพดานให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ห้อง

15 Nov 2021
5 วิธี เลือก หลอด ไฟ ให้ เหมาะ กับ ห้อง

การตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ ไม่ได้อาศัยเพียงการจัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือการเลือกของตกแต่งบ้านในแบบที่ชอบเท่านั้น เพราะการเลือกไฟเพดานให้เหมาะสมกับห้องต่าง ๆ ภายในบ้านยังช่วยเพิ่มบรรยากาศน่าอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี แต่เพราะไฟเพดานมีตัวเลือกค่อนข้างหลากหลาย แตกต่างทั้งดีไซน์ ขนาด สีของแสงไฟ และวัสดุ หลายคนจึงอาจไม่แน่ใจว่าควรเลือกหลอดไฟให้เหมาะกับห้องอย่างไรดี แกรนด์ ยูนิตี้ จึงมาพร้อมเทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณเลือกไฟเพดานที่ตอบโจทย์และสอดคล้องกับการใช้งานในห้องต่าง ๆ

ภาพแสง ไฟ ใน ห้อง นอน

แม้วัตถุประสงค์การติดตั้งไฟเพดานจะเพื่อมอบความสว่างแก่ห้องต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นกลับปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไฟเพดานมีส่วนอย่างยิ่งในการเพิ่มบรรยากาศภายในห้องให้น่าพักอาศัย การติดตั้งแสงไฟในห้องนอนให้เหมาะสมกับการพักผ่อน หรือการเลือกไฟเพดานให้เหมาะกับบรรยากาศการทำงาน ย่อมส่งผลให้การพักอาศัยภายในบ้านลงตัวยิ่งขึ้น แต่เพราะไฟติดเพดานมีให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ แกรนด์ ยูนิตี้ จึงขอแนะนำเทคนิคเลือกไฟเพดานให้เหมาะกับห้องต่าง ๆ รับรองว่าจะช่วยออกแบบบรรยากาศห้องให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

 

ทำความรู้จักไฟเพดานมีกี่แบบ

 

ไฟเพดานแบบยึดติดเพดาน

1. ไฟเพดานแบบยึดติดเพดาน

ประเภทไฟเพดานที่พบเห็นได้บ่อย ๆ มีการออกแบบมาให้ยึดติดกับเพดานห้องโดยไม่ต้องเจาะเพดาน ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับห้องขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ รวมถึง ห้องที่มีเพดานค่อนข้างต่ำเพราะช่วยประหยัดพื้นที่ ไม่ทำให้ห้องดูแคบลง และมีให้เลือกเป็นเจ้าของหลายดีไซน์ ทั้งไฟเพดานทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม ทรงเรขาคณิต และรูปทรงสะดุดตาสำหรับคนชอบความแปลกใหม่

 

ไฟเพดานแบบแขวนหรือแบบระย้า

2. ไฟเพดานแบบแขวนหรือแบบระย้า

ไฟเพดานที่เหมาะกับพื้นที่ขนาดเล็ก เนื่องจากให้แสงสว่างค่อนข้างน้อย แต่เหตุผลที่หลายคนนิยมเพราะดีไซน์สวยงามสะดุดตา เติมบรรยากาศบ้านให้ดูไม่น่าเบื่อ ที่สำคัญจุดเด่นของไฟเพดานประเภทนี้คือช่วยหลอกตาให้ห้องดูสูงขึ้น บางรุ่นออกแบบให้สามารถปรับความสูงต่ำของหลอดไฟได้ จึงกลายเป็นตัวเลือกที่นักแต่งบ้านนิยมเลือกใช้

 

ไฟเพดานแบบฝังฝ้า

3. ไฟเพดานแบบฝังฝ้า

หรือที่เรียกว่าไฟดาวน์ไลท์ (Downlight) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเภทไฟเพดานที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับบ้านยุคใหม่ที่เน้นออกแบบบ้านดีไซน์ให้ทันสมัย ไฟเพดานประเภทนี้เหมาะกับการใช้งานร่วมกับไฟประเภทอื่น ๆ เพราะนอกจากทำหน้าที่มอบแสงสว่างแล้ว ยังช่วยเติมลูกเล่นให้ห้องดูมีมิติ เพิ่มบรรยากาศบ้านให้สวยงามและดูทันสมัยขึ้นอีกด้วย

 

เลือกไฟเพดานอย่างไรให้เหมาะกับห้อง

เลือก หลอด ไฟ ให้ เหมาะ กับ ห้อง

 

1. ไฟเพดานขนาดเหมาะสมกับพื้นที่และความสูงของห้อง

การเลือกไฟเพดานควรพิจารณาขนาดพื้นที่ห้องและความสูงของห้อง หากห้องมีขนาดใหญ่ควรเลือกไฟเพดานที่มอบแสงสว่างอย่างทั่วถึง สำหรับห้องเพดานต่ำแนะนำให้เลือกไฟเพดานแบบติดผนัง เพราะหากเลือกแบบแขวนอาจทำให้รู้สึกเกะกะและทำให้ห้องดูแคบลงได้ ในกรณีของห้องเพดานสูงสามารถเลือกไฟเพดานแบบแขวนหรือแบบระย้าได้ แต่ถึงอย่างนั้นอาจต้องใช้งานร่วมกับไฟเพดานแบบติดผนัง เพราะอาจให้แสงสว่างไม่เพียงพอ

 

ไฟเพดานขนาดเหมาะสมกับพื้นที่และความสูงของห้อง

2. เลือกไฟเพดานให้เหมาะสมกับความสว่างห้อง

ก่อนตัดสินใจเลือกไฟเพดานควรพิจารณาความสว่างของแสงธรรมชาติในห้อง เพราะหากภายในห้องมีแสงธรรมชาติส่องเข้าถึงอย่างพอดีแล้ว การเลือกไฟเพดานหรือโคมไฟเฉพาะจุดก็ตอบโจทย์การใช้งานได้ แต่หากเป็นห้องที่แสงธรรมชาติเข้าไม่ถึง จำเป็นต้องเลือกไฟเพดานที่มอบแสงสว่างอย่างเพียงพอ เนื่องจากแสงสว่างมีผลอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตภายในบ้าน แสงสว่างที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตา ในขณะเดียวกันหากแสงสว่างมากเกินไปอาจทำให้บรรยากาศไม่เหมาะต่อการพักผ่อน เช่น หากเลือกใช้ไฟสลัวในห้องทำงาน อาจทำให้ไม่มีสมาธิ หรือหากแสงไฟในห้องนอนสว่างอยู่แล้ว แต่ยังเลือกไฟเพดานที่ให้แสงสว่างมากเกินไป อาจทำให้บรรยากาศไม่เหมาะต่อการนอนหลับ เป็นต้น

 

3. สีของไฟเพดานต้องเหมาะสมกับประเภทห้อง

เชื่อหรือไม่ว่าสีไฟมีผลอย่างยิ่งต่อบรรยากาศห้อง แต่ละห้องจึงจำเป็นต้องเลือกใช้สีไฟเพดานที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้น่าอยู่ โดยห้องนั่งเล่น ห้องนอน ควรเลือกไฟเพดานแบบ Warm White เพราะเป็นโทนสีที่มอบบรรยากาศผ่อนคลาย อบอุ่น เหมาะกับการพักผ่อนและนอนหลับ จึงไม่แปลกที่ Warm White จะกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่หลายคนนำมาใช้เป็นแสงไฟในห้องนอน รวมถึงถูกจัดวางในมุมพักผ่อน แต่หากเป็นห้องทำงาน แนะนำให้เลือกไฟเพดานแบบ Cool White มอบบรรยากาศให้ดูสว่างสดใส และช่วยเพิ่มสมาธิในการทำงาน นอกจากนี้ มุมแต่งหน้า มุมทำงานศิลปะ หรือมุมอ่านหนังสือ ควรเลือกไฟเพดานแบบ Daylight โทนสีฟ้าขาว เพื่อให้ความสว่างชัดเจน และมองเห็นสีรอบตัวได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน  

 

สีของไฟเพดานต้องเหมาะสมกับประเภทห้อง

4. เลือกดีไซน์ไฟเพดานให้เหมาะสมกับสไตล์ห้อง

ใครเป็นนักแต่งบ้านตัวยง เชื่อว่าต้องให้ความสำคัญกับการเลือกหลอดไฟให้เหมาะกับห้องเป็นพิเศษ เพราะหากแต่งบ้านสไตล์วินเทจ แต่เลือกไฟเพดานดีไซน์โมเดิร์นก็ดูจะไม่ลงตัวเท่าไหร่นัก ก่อนตัดสินใจเลือกไฟเพดานจึงต้องพิจารณาสไตล์ห้องร่วมด้วย เช่น หากแต่งห้องสไตล์มินิมอล ควรเลือกไฟเพดานดีไซน์เรียบง่าย โทนสีขาว สีดำ หรือสีเทา ซึ่งเป็นโทนสีสไตล์มินิมอล แต่หากแต่งห้องสไตล์วินเทจ ควรเลือกไฟเพดานดีไซน์อ่อนช้อย และสอดแทรกด้วยกลิ่นอายย้อนยุค อันเป็นจุดเด่นของการแต่งห้องสไตล์วินเทจ เป็นต้น

 

5. เลือกไฟเพดานโดยพิจารณาจากวัสดุ

นอกจากไฟเพดานจะมีให้เลือกหลากดีไซน์หลายสีสันแล้ว ยังมีให้เลือกหลายวัสดุเช่นเดียวกัน เพราะวัสดุของไฟเพดานยังส่งผลต่อบรรยากาศห้อง จนหลายคนอาจคิดไม่ตกว่าควรเลือกหลอดไฟให้เหมาะกับห้องอย่างไรดี สำหรับวัสดุที่นิยมนำมาออกแบบเป็นไฟติดเพดาน คือ กระจก เพราะมีข้อดีคือกระจายแสงได้อย่างดีเยี่ยมและเข้าได้กับบ้านทุกสไตล์ หากเลือกไฟเพดานทำจากผ้าจะช่วยเพิ่มบรรยากาศอบอุ่นให้แก่ภายในห้อง จึงเป็นตัวเลือกเหมาะอย่างยิ่งสำหรับห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น แต่มีข้อเสียคือต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ เพราะผ้าเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่น แต่หากต้องการเพิ่มบรรยากาศห้องให้ดูพรีเมียม ควรเลือกไฟเพดานที่ผลิตจากคริสตัล เพราะแข็งแรงและตอบโจทย์เรื่องความหรูหรา

เชื่อว่าใครที่กำลังสงสัยว่า ควรเลือกหลอดไฟให้เหมาะกับห้องอย่างไรดี น่าจะมีไอเดียเพิ่มเติมในการเลือกไฟเพดานให้เหมาะสมกับห้องต่าง ๆ ภายในบ้านแล้ว นอกจากเทคนิคที่นำมาฝาก สิ่งหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นกัน คือ งบประมาณ เพราะไฟเพดานที่จำหน่ายในท้องตลาดมีให้เลือกหลายรุ่น หลายแบบ และหลายราคา รวมถึง ควรเลือกไฟเพดานได้มาตรฐาน เพื่อการใช้งานที่ยาวนานและปลอดภัย

 

วิธีการติดตั้งโคมไฟเพดานอย่างปลอดภัย

1. อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

  • โคมไฟเพดาน

  • บันไดที่มั่นคง

  • ไขควง (หัวแฉกและ/หรือหัวแบน)

  • คีมตัดสายไฟ

  • เทปพันสายไฟ

  • สว่าน (ถ้าต้องเจาะยึด)

  • ปลั๊กพุกและสกรู (ถ้าไม่ได้ใช้ตัวยึดเดิม)

  • เครื่องตรวจสอบไฟฟ้า (ถ้ามี)

  • ถุงมือยาง (เพื่อความปลอดภัย)

 

2. ขั้นตอนการติดตั้ง

2.1. ตัดไฟก่อนเริ่มงาน

    • ปิดสวิตช์ เบรกเกอร์ ที่ควบคุมไฟในบริเวณที่จะติดตั้ง เพื่อป้องกันไฟดูด

    • ตรวจสอบว่าไฟดับสนิทแล้ว โดยเปิดสวิตช์ไฟบริเวณนั้นดู

2.2. ถอดโคมไฟเก่า (ถ้ามี)

    • ใช้ไขควงถอดน็อตยึดโคมเก่าออก

    • ค่อยๆ ดึงโคมออกมาและตัดการเชื่อมต่อสายไฟอย่างระมัดระวัง

2.3. ตรวจสอบสายไฟ

    • ตรวจสอบว่ามีสายไฟครบ 3 เส้น ได้แก่:

      • สายไฟเข้า (L)

      • สายนิวทรัล (N)

      • สายดิน (ถ้ามี)

    • ตรวจสอบว่าฉนวนยังอยู่ในสภาพดี และไม่มีสายที่หลวม

2.4. ติดตั้งฐานโคมไฟ

    • ถ้าโคมใหม่มีฐาน ให้ติดตั้งฐานโคมกับเพดานด้วยสกรูและพุก

    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฐานแน่นและสามารถรับน้ำหนักโคมได้

2.5. ต่อสายไฟ

    • ต่อสายตามสีหรือสัญลักษณ์:

      • สาย L (สีน้ำตาล/ดำ) ต่อกับสายไฟเข้า

      • สาย N (สีน้ำเงิน) ต่อกับสายนิวทรัล

      • สาย ดิน (สีเขียว/เหลือง) ต่อกับสายดินหรือโครงโลหะ

    • ใช้คีมบิดปลายสายให้แน่น แล้วพันด้วยเทปพันสายไฟ

2.6. ประกอบและติดตั้งโคมไฟ

    • ยึดโคมเข้ากับฐานหรือเพดาน

    • ตรวจสอบความแน่นหนา

    • ใส่หลอดไฟให้เรียบร้อย

2.7. ทดสอบการทำงาน

    • เปิดเบรกเกอร์

    • เปิดสวิตช์ไฟดูว่าโคมทำงานได้ตามปกติหรือไม่

3. ข้อควรระวัง

  • ห้ามทำงานกับระบบไฟฟ้าโดยไม่ตัดไฟเด็ดขาด

  • อย่าใช้เครื่องมือที่ชำรุดหรือเปลือยสาย

  • หากไม่มั่นใจ ให้เรียกช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาต

 

 

อ่านบทความเพิ่มเติม 3 ไอเดียการจัดแสงในห้องนอน

 

แกรนด์ ยูนิตี้ เรามุ่งมั่นที่จะตอบทุกเหตุผลของการใช้ชีวิต เพื่อให้คุณได้ #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ