วิธีการกู้ร่วม บ้าน สินเชื่อบ้านส าหรับคู่รักและครอบครัว
05 May 2025อยากมีบ้านสักหลังแต่รายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์? หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ซื้อบ้านได้ง่ายขึ้นก็คือ ‘การกู้ร่วม’ ที่หลายคนอาจเคยได้ยิน แต่ยังไม่แน่ใจว่า… ต้องทำอย่างไร ? เหมาะกับใคร ? ธนาคารพิจารณาจากอะไรบ้าง?
บทความนี้จะพาคุณไปไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการกู้ร่วมซื้อบ้าน ตั้งแต่หลักการ รายละเอียดที่ต้องรู้ ไปจนถึงสิ่งที่ควรเตรียมตัว เพื่อเพิ่มโอกาสในการกู้ผ่านอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะถ้าคุณวางแผนจะมีคอนโดเป็นของตัวเองเร็ว ๆ นี้ ห้ามพลาด!
'การกู้ร่วม' คืออะไร ? และเหมาะกับใคร ?
การกู้ร่วม คือกระบวนการขอสินเชื่อโดยมีผู้กู้มากกว่า 1 คนร่วมลงนามในสัญญาเงินกู้เดียวกัน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธนาคารอนุมัติวงเงินได้สูงขึ้น ในกรณีที่รายได้ของผู้กู้คนเดียวไม่เพียงพอ การรวมรายได้ของผู้กู้ร่วมจะช่วยให้ธนาคารมองเห็นศักยภาพในการชำระหนี้ที่ดีขึ้น ทำให้สามารถขอกู้วงเงินที่มากพอสำหรับซื้อบ้านหรือคอนโดที่ต้องการได้
การกู้ร่วมเหมาะกับกลุ่มที่ต้องการเพิ่มความสามารถในการกู้ เช่น
- คู่รักที่วางแผนสร้างอนาคตร่วมกัน เช่น คู่แต่งงาน หรือคู่ที่อยู่ด้วยกันมานานและต้องการซื้อบ้านเป็นของตัวเอง
- ครอบครัว เช่น พ่อ แม่ ลูก หรือพี่น้อง ในกรณีที่พ่อแม่ต้องการช่วยลูกซื้อบ้าน หรือพี่น้องซื้อบ้านร่วมกัน
- หุ้นส่วนทางธุรกิจ สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน โดยต้องมีข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์และภาระหนี้อย่างชัดเจน
ข้อตกลงและบทบาทของผู้กู้ร่วม
หลายคนเข้าใจกันว่าการกู้ร่วมคือ การช่วยเพิ่มวงเงินกู้ แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ บทบาทและความรับผิดชอบของผู้กู้ร่วมในสัญญา หรือ การแบ่งปันภาระหนี้ เนื่องจากผู้กู้ร่วมจะมีหน้าที่รับผิดชอบต่อหนี้สินเท่ากับผู้กู้หลัก และหากผู้ใดผู้หนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ได้ อีกฝ่ายยังคงต้องรับผิดชอบเต็มจำนวน นั่นหมายถึง ‘ผู้กู้ร่วม’ จะมีสถานะเทียบเท่า ‘ผู้กู้หลัก’ ต่อหน้าธนาคาร
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรพูดคุยและตกลงหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างชัดเจน เช่น ใครจะผ่อน ใครจะเป็นเจ้าของบ้านในกรรมสิทธิ์ รวมถึงทำความเข้าใจในผลกระทบหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น แยกทางกันหรือเปลี่ยนแปลงรายได้ในอนาคต
รายได้รวมสำคัญแค่ไหนในการกู้ร่วม ?
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ธนาคารใช้พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อก็คือ ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งถูกประเมินจาก ‘รายได้รวมของผู้กู้’ นั่นเอง ซึ่งในกรณีของการกู้ร่วม อย่างเช่น กู้ร่วมซื้อบ้าน รายได้ของผู้กู้แต่ละคนจะถูกนำมารวมกันเพื่อคำนวณวงเงินกู้ที่สามารถขอได้
ตัวอย่าง
หากคุณมีรายได้ 25,000 บาท และคู่ของคุณมีรายได้ 30,000 บาท รายได้รวมต่อเดือนจะกลายเป็น 55,000 บาท ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสขอวงเงินกู้ได้มากกว่าการกู้คนเดียวอย่างชัดเจน
ทำไมรายได้รวมจึงสำคัญ ?
- ใช้คำนวณวงเงินกู้สินเชื่อที่สามารถกู้ได้
โดยทั่วไป ธนาคารจะอนุมัติวงเงินไม่เกิน 40–50 เท่าของรายได้รวม เช่น หากรายได้รวม 50,000 บาทต่อเดือน วงเงินกู้ที่ได้รับอาจอยู่ที่ประมาณ 2–2.5 ล้านบาท - ใช้คำนวณภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio)
ธนาคารมักกำหนดให้ภาระหนี้รวมต่อเดือนของผู้กู้ไม่เกิน 40–50% ของรายได้รวม เช่น หากรายได้รวม 60,000 บาท ค่างวดผ่อนบ้านควรไม่เกิน 24,000–30,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระเกินตัว - ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้
การมีรายได้รวมที่สูงขึ้น ช่วยให้ธนาคารเห็นว่าผู้กู้มีศักยภาพในการผ่อนชำระระยะยาว ส่งผลให้การอนุมัติง่ายขึ้น
เครดิตสกอร์คืออะไร ?
เครดิตสกอร์ (Credit Score) คือคะแนนที่สรุปความน่าเชื่อถือทางการเงินของคุณ โดยคำนวณจากพฤติกรรมทางการเงิน ดังนี้
- ประวัติการชำระหนี้ตรงเวลา
- จำนวนบัญชีที่มีอยู่
- ภาระหนี้ในปัจจุบัน
- จำนวนครั้งที่ขอยื่นกู้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
- อายุของบัญชีเครดิต
ยิ่งคะแนนสูง (อยู่ในช่วง 700 ขึ้นไป) ธนาคารยิ่งมั่นใจว่าคุณมีความเสี่ยงต่ำ โอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อก็สูงขึ้นตามไปด้วย
เครดิตสกอร์สำคัญยังไง ?
ไม่ว่าจะกู้คนเดียวหรือกู้ร่วม สิ่งที่ธนาคารไม่มองข้ามเด็ดขาด คือ ‘ประวัติทางการเงินของผู้กู้’ เพราะมันสะท้อนถึงวินัยทางการเงิน ความรับผิดชอบ และความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ในอดีต
ในกรณีของการกู้ร่วม ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลเครดิตของ ‘ผู้กู้ทุกคน’ อย่างละเอียด หากมีเพียงหนึ่งคนที่เคยผิดนัดชำระหนี้ ล่าช้า หรือมีประวัติค้างชำระในระบบเครดิตบูโร ก็อาจส่งผลให้ทั้งกลุ่มมีโอกาสกู้ไม่ผ่านได้
เตรียมตัวล่วงหน้า เพิ่มโอกาสอนุมัติ
การยื่นกู้ไม่ใช่แค่กรอกเอกสารแล้วรอผลอนุมัติเท่านั้น แต่คือการแสดงศักยภาพทางการเงินของคุณต่อธนาคาร ยิ่งเตรียมตัวดีเท่าไร โอกาสอนุมัติก็ยิ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในกรณีของการกู้ร่วม ที่ธนาคารจะประเมินความพร้อมของ ‘ทุกคน’ ที่ลงชื่อร่วม โดยมีข้อแนะนำในการปฏิบัติดังนี้
1. ตรวจเครดิตบูโรก่อนยื่นกู้เช็กได้ปีละ 1–2 ครั้ง หากพบว่ามีประวัติค้างชำระ ล่าช้า หรือผิดนัด ควรเคลียร์ให้เรียบร้อยและรอจนข้อมูลอัปเดตก่อนยื่น
2. ลดภาระหนี้อื่นให้ต่ำที่สุดปิดบัตรเครดิตที่ไม่ใช้งาน หรือลดวงเงินหนี้หมุนเวียน จะช่วยให้ภาระ DTI (Debt to Income) ต่ำลง ธนาคารจะเห็นว่าคุณมีความสามารถในการชำระหนี้มากขึ้น
3. มีรายได้ชัดเจนและต่อเนื่องสลิปเงินเดือน หนังสือรับรองรายได้ หรือรายการเดินบัญชีควรครบถ้วนอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อยืนยันรายได้ที่แน่นอน
4. เก็บเอกสารให้พร้อมบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบสมรส (ถ้ามี) และเอกสารเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการซื้อ ต้องครบและจัดเป็นระเบียบ
5. งดขอกู้หรือเปิดบัญชีเครดิตใหม่ชั่วคราว การยื่นขอสินเชื่อหลายที่ในระยะสั้นอาจส่งผลลบต่อเครดิตสกอร์ได้
การเตรียมตัวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้โอกาสกู้ผ่านสูงขึ้น แต่ยังทำให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และช่วยให้คุณพร้อมเจรจาขอเงื่อนไขที่ดีที่สุดกับธนาคารได้อีกด้วย
มูลค่าบ้านมีผลต่อการอนุมัติยังไง ?
นอกจากรายได้และประวัติการเงินของผู้กู้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับ ‘มูลค่าทรัพย์สิน’ ที่คุณต้องการกู้ร่วมซื้อบ้าน เพราะสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นเงินกู้ที่มีหลักประกัน ดังนั้นธนาคารต้องมั่นใจว่า ‘บ้าน’ ที่คุณเลือก มีมูลค่าสมเหตุสมผล และสามารถใช้ค้ำประกันหนี้ได้ในอนาคต
ธนาคารจะประเมินมูลค่าทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อ โดยส่งเจ้าหน้าที่หรือบริษัทประเมินภายนอกมาตรวจสอบราคาทรัพย์ ซึ่งจะพิจารณาจาก ทำเล สภาพบ้าน สิ่งอำนวยความสะดวก และราคาตลาด หากราคาประเมิน ต่ำกว่าราคาขาย ผู้กู้อาจต้องเตรียมเงินส่วนต่างเพิ่มเอง เพราะธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้จากราคาประเมิน ไม่ใช่ราคาซื้อขาย
ขั้นตอนการกู้ร่วมบ้าน
1. วางแผนการเงินร่วมกัน
-
ประเมินความสามารถในการผ่อนของแต่ละฝ่าย
-
ตรวจสอบประวัติเครดิต (เครดิตบูโร) ของทุกคน
2. เลือกทรัพย์สินที่ต้องการซื้อ
-
เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ คอนโด ฯลฯ
3. เตรียมเอกสารของผู้กู้ทุกคน
เช่น:
-
สำเนาบัตรประชาชน
-
ทะเบียนบ้าน
-
เอกสารรายได้ (สลิปเงินเดือน/หนังสือรับรองเงินเดือน/รายการเดินบัญชี)
-
เอกสารหลักทรัพย์ที่ซื้อ
-
ทะเบียนสมรส (ถ้ามี)
4. ยื่นกู้ร่วมกับธนาคาร
-
ระบุให้ชัดว่ากู้ร่วมกี่คน
-
ธนาคารพิจารณาความสามารถชำระหนี้ของทุกคนรวมกัน
5. ธนาคารประเมินและอนุมัติสินเชื่อ
-
ตรวจสอบหลักประกัน (บ้าน)
-
ตรวจสอบรายได้ ภาระหนี้ เครดิตบูโร
6. ทำสัญญากู้ร่วม และโอนกรรมสิทธิ์
-
ผู้กู้ร่วมทุกคนต้องเซ็นเอกสารร่วมกัน
-
การโอนกรรมสิทธิ์บ้านสามารถเป็นเจ้าของร่วมกันหรือเฉพาะบางคนก็ได้ (ขึ้นอยู่กับการตกลง)
ข้อดีของการกู้ร่วม
-
เพิ่มโอกาสขอวงเงินสูงขึ้น
-
รวมรายได้กัน ทำให้ผ่านเกณฑ์ของธนาคารได้ง่ายขึ้น
-
-
ช่วยกันผ่อนชำระได้
-
แบ่งภาระหนี้กัน ช่วยลดความกดดันทางการเงิน
-
-
ซื้อบ้านที่ใหญ่ขึ้น / ทำเลดีขึ้นได้
-
เพราะมีวงเงินสูงกว่าการกู้คนเดียว
-
-
สร้างเครดิตทางการเงินร่วมกัน
-
ถ้าผ่อนตรงเวลา จะมีประวัติสินเชื่อที่ดีทั้งคู่
-
ข้อเสียของการกู้ร่วม
-
ผูกพันกันทางกฎหมาย
-
ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบหนี้เท่าเทียมกัน ถ้าคนใดผิดนัด คนอื่นต้องรับภาระแทน
-
-
กระทบต่อความสามารถกู้ในอนาคต
-
หนี้ที่กู้ร่วมจะถูกรวมในภาระหนี้ของทุกคน ทำให้ขอกู้เพื่อสิ่งอื่นได้ยากขึ้น
-
-
ความยุ่งยากหากมีการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์
-
เช่น หย่าร้าง หรือมีปัญหาส่วนตัว ต้องทำเรื่องเปลี่ยนชื่อผู้กู้หรือแบ่งกรรมสิทธิ์
-
-
ภาษีและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
-
เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าประเมิน ค่าทนาย (กรณีมีข้อตกลงเพิ่มเติม)
-
ข้อควรระวัง
-
ควรทำ หนังสือข้อตกลงร่วม เช่น ใครผ่อนกี่เปอร์เซ็นต์ ใครถือกรรมสิทธิ์กี่ส่วน
-
หากมีปัญหา ควรหาทางตกลงกันก่อนเรื่องจะบานปลาย
-
ตรวจสอบเงื่อนไขของแต่ละธนาคารให้ละเอียด เพราะนโยบายแตกต่างกัน
ดังนั้นควรเลือกบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีมูลค่าเหมาะสมกับทำเลและความต้องการใช้งานจริง เพื่อให้การกู้ร่วมไม่ติดขัด และได้รับอนุมัติวงเงินตามเป้าหมาย
หากคุณกำลังมองหาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ทั้งทำเล ราคา และคุณภาพ เพื่อให้ขั้นตอนขอกู้สินเชื่อเป็นเรื่องง่ายขึ้น โครงการจาก แกรนด์ ยูนิตี้ ออกแบบมาเพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว และเพิ่มโอกาสกู้ร่วมซื้อบ้านในราคาที่คุ้มค่ากับการลงทุนในอนาคต พร้อมให้คุณเข้าอยู่แล้ววันนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและเลือกโครงการที่ตรงใจคุณได้ คลิก คอนโดพร้อมอยู่
หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE Official : @GrandUnity โทร. 02 652 4000
แกรนด์ ยูนิตี้ เรามุ่งมั่นที่จะตอบทุกเหตุผลของการใช้ชีวิต เพื่อให้คุณได้ #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ #GrandUnity #MakesSense.
อ้างอิง : ttbbank.com, blog.ghbank.co.th, reic.or.th, investree.co.th