รีไฟแนนซ์ VS ขอลดดอกเบี้ย ควรเลือกอย่างไร?
10 Jul 2023ไม่ต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยสูงอีกต่อไป ด้วยการรีไฟแนนซ์ (Refinance) และการขอลดดอกเบี้ย (Retention) ที่อยู่อาศัย เปลี่ยนภาระหนักให้เป็นเบา ไม่ว่าจะผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดฯก็หมดห่วง
ท่านที่เป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียม ส่วนใหญ่ทราบดีอยู่แล้วว่าหลังจากผ่อนชำระครบ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ส่งผลให้ต้องรับภาระหนักกับตัวเลขดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ยอดเงินผ่อนชำระค่าบ้านหรือคอนโดฯจึงเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นเช่นกัน การรีไฟแนนซ์ (Refinance) และการขอลดดอกเบี้ย (Retention) กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่คือวิธีปรับลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เป็นเจ้าของอัตราดอกเบี้ยถูกลง ผ่อนบ้านหรือคอนโดฯต่อเดือนน้อยลง เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน แม้มองเผิน ๆ พบว่าทั้งสองอย่างนี้คล้ายกัน เพราะลดดอกเบี้ยได้เหมือนกัน แต่แท้จริงแล้วการรีไฟแนนซ์และการขอลดดอกเบี้ยมีความแตกต่าง หากคิดจะรีไฟแนนซ์หรือขอลดดอกเบี้ยจึงต้องศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนเสมอ
การรีไฟแนนซ์และการขอลดดอกเบี้ยคืออะไร แตกต่างกันอย่างไรบ้าง
-
การรีไฟแนนซ์ คืออะไร
เมื่ออัตราดอกเบี้ยเข้าสู่โหมดลอยตัว การรีไฟแนนซ์ (Refinance) นับทางเลือกอันดับต้น ๆ ในการขอปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยวิธีนี้ผู้กู้จะยื่นกู้กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ เพื่อรับอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม รวมถึงรับข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ ที่ทางสถาบันการเงินมอบให้ ซึ่งการรีไฟแนนซ์ถือเป็นการขอสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินใหม่ แน่นอนว่าข้อดีคือได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าสถาบันการเงินแห่งเดิม หลายธนาคารเตรียมหลากหลายข้อเสนอถูกใจ เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน เพราะยอดผ่อนชำระค่างวดลดลง บางคนได้เงินก้อนสำหรับตกแต่งบ้านเพิ่มเติม ที่สำคัญมีโอกาสได้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าการขอลดดอกเบี้ย แต่มีข้อเสียคือต้องยื่นเอกสารกู้สินเชื่อใหม่ทั้งหมด ซึ่งการเตรียมเอกสารยื่นกู้ใหม่ทั้งหมดนั้นอาจไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับใครหลายคน
-
การขอลดดอกเบี้ยคืออะไร
การขอลดดอกเบี้ย (Retention) มีความคล้ายคลึงกับการรีไฟแนนซ์ มีเป้าหมายเพื่อการเป็นเจ้าของอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงเหมือนกัน แต่การขอลดดอกเบี้ยจะเป็นการเจรจาต่อรองกับสถาบันการเงินเดิมเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสถาบันการเงินจะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป เพราะต้องตรวจเช็กประวัติการผ่อนชำระเงินว่าไม่มีผิดนัดหรือค้างชำระ ข้อดีคือไม่ต้องเตรียมเอกสารใด ๆ ให้ยุ่งยาก เพราะเป็นการขอลดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเดิมซึ่งมีเอกสารอยู่แล้ว ใช้เวลาอนุมัติไม่นาน บางสถาบันการเงินคิดค่าใช้จ่ายเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ของวงเงินกู้เท่านั้น
-
Retention กับ Refinance แตกต่างกันอย่างไร
จะเห็นว่า retention กับ refinance มีส่วนที่คล้ายกัน แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีความแตกต่างกันหลายอย่าง ได้แก่ การรีไฟแนนซ์ ผู้กู้ต้องยื่นเรื่องกู้กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ แต่การขอลดดอกเบี้ยต้องยื่นเรื่องกับสถาบันการเงินเดิม การรีไฟแนนซ์จำเป็นต้องยื่นเอกสารใหม่ทั้งหมด ใช้เวลาพิจารณาอนุมัติเหมือนตอนยื่นกู้ซื้อบ้านครั้งแรก ในขณะที่การขอลดดอกเบี้ยไม่จำเป็นต้องยื่นเอกสารซ้ำ ได้รับผลการพิจารณาอนุมัติไว สำหรับค่าธรรมเนียมนั้น การรีไฟแนนซ์จะเสียค่าดำเนินการสัญญาใหม่รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แต่การขอลดดอกเบี้ยจะมีค่าธรรมเนียมเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์ของวงเงินกู้ แต่ถึงอย่างนั้นการรีไฟแนนซ์กลับทำให้ผู้กู้มีตัวเลือกมากกว่า เพราะมีโอกาสเลือกสถาบันการเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยคุ้มค่าที่สุด
การรีไฟแนนซ์และการขอลดดอกเบี้ยมีขั้นตอนอย่างไร ใช้เอกสารอะไรบ้าง
-
รีไฟแนนซ์มีขั้นตอนอย่างไร ใช้เอกสารอะไรบ้าง
เพราะการรีไฟแนนซ์ต้องยื่นกู้กับสถาบันการเงินใหม่จึงต้องเตรียมเอกสารใหม่ทั้งหมด โดยเอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่ เอกสารข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาใบสำคัญการสมรส เอกสารแสดงรายได้ ได้แก่ หนังสือรับรองเงินเดือน หนังสือรับรองโบนัส สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง แบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงเอกสารแสดงหลักประกัน ได้แก่ โฉนดที่ดิน หนังสือรับรองกรรมสิทธิ์ห้องชุด สำเนาสัญญาเงินกู้จากสถาบันการเงินเดิม สำเนาใบเสร็จเงินกู้เดือนล่าสุด
เมื่อเตรียมเอกสารครบแล้วอย่าลืมเตรียมค่าใช้จ่ายเบื้องต้นให้พร้อม โดยจะมีค่าใช้จ่ายในการประเมินหลักทรัพย์ ค่าจดจำนอง ค่าอากรสแตมป์ และอาจมีค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินนั้น ๆ จากนั้นจึงได้เวลายื่นเอกสารขอรีไฟแนนซ์กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงค่อยติดต่อสถาบันการเงินเดิม เพื่อขอไถ่ถอนและปิดสินเชื่อเดิม เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
-
ขอลดดอกเบี้ยมีขั้นตอนอย่างไร ใช้เอกสารอะไรบ้าง
แม้การขอลดดอกเบี้ยจะได้อัตราดอกเบี้ยเป็นที่น่าพอใจน้อยกว่าการรีไฟแนนซ์ แต่ถึงอย่างนั้นกลับใช้เอกสารน้อยกว่ามาก ไม่ต้องเตรียมเอกสารให้ยุ่งยาก ใช้เพียงสัญญาเงินกู้ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน และที่ขาดไม่ได้เลยคือค่าใช้จ่าย ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ของวงเงินกู้
รีไฟแนนซ์และขอลดดอกเบี้ยเลือกอย่างไรดี
ความได้เปรียบและเสียเปรียบของ retention กับ refinance ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าควรเลือกอะไรดี ต้องบอกว่าอันที่จริงแล้วขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สัญญาเงินกู้ฉบับเดิม ยอดหนี้คงเหลือ ข้อเสนอจากสถาบันการเงินในช่วงเวลานั้น ๆ ที่สำคัญคือความพร้อมของผู้กู้ว่าสามารถแบกรับค่างวดในการผ่อนชำระได้มากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบุคคล รวมถึงเรื่องความสะดวกสบาย จึงจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบร่วมกันหลายด้าน
การรีไฟแนนซ์และการขอลดดอกเบี้ย ถือเป็นทางเลือกที่ดีในการปรับลดดอกเบี้ยบ้านและคอนโดฯ เพราะนั่นหมายความว่ายิ่งได้อัตราดอกเบี้ยถูกมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะผ่อนบ้านและคอนโดฯ หมดจะเร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งจากการเปรียบเทียบจะเห็นว่าทั้งสองอย่างมีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาและพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนเสมอ เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
แกรนด์ ยูนิตี้ เรามุ่งมั่นที่จะตอบทุกเหตุผลของการใช้ชีวิต เพื่อให้คุณได้ #ใช้ชีวิตบนเหตุผลของคุณ
#MakesSense.